สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (อังกฤษ: Manchester United Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลตั้งอยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในเกรเทอร์แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันแข่งขันในพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ สโมสรมีฉายา "ปีศาจแดง" ก่อตั้งในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ใน ค.ศ. 1878 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดใน ค.ศ. 1902 และย้ายไปเล่นที่สนามเหย้าปัจจุบันอย่างโอลด์แทรฟฟอร์ดใน ค.ศ. 1910
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลมากที่สุดในฟุตบอลอังกฤษ โดยชนะเลิศลีก 20 สมัย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด, เอฟเอคัพ 12 สมัย, ลีกคัพ 6 สมัย และเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 21 สมัย ซึ่งก็เป็นสถิติสูงสุดเช่นกัน ยูไนเต็ดยังชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย, ยูฟ่ายูโรปาลีก 1 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย โดยในฤดูกาล 1998–99 สโมสรกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่คว้าทริปเปิลแชมป์ระดับทวีปยุโรปและในฤดูกาล 2016–17 หลังจากที่ชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก พวกเขากลายเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่ชนะเลิศการแข่งขันรายการหลักของยูฟ่าครบทั้งสามรายการ
ภัยพิบัติทางอากาศมิวนิกเมื่อ ค.ศ. 1958 คร่าชีวิตผู้เล่นแปดคน ต่อมาใน ค.ศ. 1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรฟุตบอลแรกของอังกฤษที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพภายใต้การคุมทีมของแมตต์ บัสบี ต่อมาอเล็กซ์ เฟอร์กูสันพาทีมชนะเลิศถ้วยรางวัล 38 ใบในฐานะผู้จัดการทีม ซึ่งรวมพรีเมียร์ลีก 13 สมัย, เอฟเอคัพ 5 สมัย และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัยในระหว่าง ค.ศ. 1986 ถึง 2013[ ซึ่งเป็นปีที่เขาประกาศเกษียณตัวเอง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีสโมสรคู่ปรับคือ ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ซิตี, อาร์เซนอล และลีดส์ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกในฤดูกาล 2016–17 ด้วยรายได้ต่อปีเป็นจำนวน 676.3 ล้านยูโร และเป็นสโมสรที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่สามของโลกใน ค.ศ. 2019 เป็นมูลค่า 3.15 พันล้านปอนด์ (3.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ ค.ศ. 2015 สโมสรเป็นเครื่องหมายการค้าฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก คาดว่ามีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ได้มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเมื่อ ค.ศ. 1991 สโมสรได้กลับมาเป็นบริษัทเอกชนจากการที่มัลคอม เกลเซอร์ซื้อกิจการเมื่อ ค.ศ. 2005 ด้วยมูลค่าเกือบ 800 ล้านปอนด์ ซึ่งเงินที่ถูกกู้กว่า 500 ล้านปอนด์นี้กลายเป็นหนี้ของสโมสร และตั้งแต่ ค.ศ. 2012 หุ้นบางส่วนของสโมสรถูกเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก แม้ว่าตระกูลเกลเซอร์จะยังคงมีบทบาทเป็นเจ้าของและควบคุมสโมสร
ประวัติ
ช่วงแรก (1878–1945)

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1878 ในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ (อังกฤษ: Newton Heath LYR Football Club) โดยพนักงานแผนกตู้โดยสารและตู้สินค้าของโรงซ่อมบำรุงรถไฟแลงคาเชียร์และยอร์กเชียร์ที่นิวตันฮีต ในช่วงแรก ทีมแข่งขันกับแผนกและบริษัทรถไฟอื่น ๆ แต่เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1880 พวกเขาแข่งขันในนัดแรกที่มีการบันทึกไว้ โดยสวมเสื้อสีประจำบริษัทอย่างสีเขียวและสีทอง นัดนั้น พวกเขาพ่ายแพ้ต่อทีมสำรองของโบลตันวอนเดอเรอส์ด้วยผลประตู 6–0 ต่อมาใน ค.ศ. 1888 สโมสรกลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของเดอะคอมบิเนชัน ลีกฟุตบอลระดับภูมิภาค แต่หลังจากยุบลีกในช่วงเวลาผ่านไปเพียงฤดูกาลเดียว นิวตันฮีทเข้าร่วมฟุตบอลอัลไลแอนซ์ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ โดยแข่งขันสามฤดูกาลก่อนที่ลีกจะถูกรวมเข้ากับฟุตบอลลีก ส่งผลให้สโมสรเริ่มต้นฤดูกาล 1892–93 ในเฟิสต์ดิวิชัน ณ เวลานั้น พวกเขาแยกตัวออกจากบริษัทรถไฟและนำคำว่า "แอลวายอาร์" ออกจากชื่อ สองฤดูกาลถัดมา สโมสรตกชั้นสู่เซคันด์ดิวิชัน

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1902 สโมสรติดหนี้เป็นจำนวน 2,670 ปอนด์ หรือเท่ากับ 290,000 ปอนด์ใน ค.ศ. 2020 จนมีคำสั่งให้เลิกกิจการ กัปตันทีม แฮร์รี สแตฟเฟิร์ด ได้ไปพบกับนักธุรกิจท้องถิ่นสี่คน ซึ่งรวมถึงจอห์น เฮนรี เดวีส์ (ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานสโมสร) ทุกคนยินดีที่จะลงทุนเงิน 500 ปอนด์เพื่อแลกกับผลประโยชน์โดยตรงในการบริหารสโมสร พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อสโมสรในภายหลัง ทำให้ในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ. 1920 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ เออร์เนสต์ มังแนล ผู้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1903 พาทีมจบรองชนะเลิศในเซคันด์ดิวิชันใน ค.ศ. 1906 จนได้เลื่อนชั้นสู่เฟิสต์ดิวิชัน ซึ่งพวกเขาชนะเลิศใน ค.ศ. 1908 นับเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกของสโมสร พวกเขาเริ่มต้นฤดูกาลถัดมาด้วยการชนะเลิศแชริตีชีลด์เป็นสมัยแรกเป็นสโมสร ก่อนที่จะจบฤดูกาลด้วยการชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยแรกของสโมสรเช่นเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชันเป็นสมัยที่สองใน ค.ศ. 1911 แต่หลังจบฤดูกาลถัดมา มังแนลออกจากสโมสรและเข้าร่วมแมนเชสเตอร์ซิตี
ใน ค.ศ. 1922 ซึ่งมีการแข่งขันฟุตบอลใหม่มาแล้วสามปีหลังจากที่หยุดไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สโมสรตกชั้นสู่เซคันด์ดิวิชัน และได้เลื่อนชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1925 พวกเขาตกชั้นอีกครั้งใน ค.ศ. 1931 ทำให้สโมสรจึงกลายเป็นโยโย่คลับ สโมสรจบอันดับที่ 20 ในเซคันด์ดิวิชันเมื่อ ค.ศ. ค.ศ. 1934 นับเป็นอันดับต่ำที่สุดตลอดกาล ต่อมาเมื่อจอห์น เฮนรี เดวีส์ ผู้อุปการคุณหลัก เสียชีวิตในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1927 สถานะการเงินของสโมสรย่ำแย่จนอาจล้มละลายหากไม่ได้เจมส์ ดับเบิลยู. กิบสัน ผู้ซึ่งลงทุนเงิน 2,000 ปอนด์และเข้าควบคุมกิจการสโมสรในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1931 ต่อมาในฤดูกาล 1938–39 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการแข่งขันฟุตบอลก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สโมสรจบอันดับที่ 14 ในเฟิสต์ดิวิชัน
ยุคของบัสบี (1945–1969)

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1945 การกลับมาแข่งขันฟุตบอลอีกครั้งทำให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ แมตต์ บัสบี ผู้เรียกร้องอำนาจการคุมทีมสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการเลือกผู้เล่น การซื้อขายผู้เล่น และการฝึกซ้อม บัสบีพาทีมจบอันดับที่สองในลีกใน ค.ศ. 1947, 1948 และ 1949 และชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1948 ต่อมาใน ค.ศ. 1952 สโมสรชนะเลิศเฟิสต์ดิวิชันเป็นครั้งแรกในรอบ 41 ปีพวกเขายังชนะเลิศลีกสองสมัยติดต่อกันใน ค.ศ. 1956 และ 1957 โดยผู้เล่นชุดนั้นมีอายุเฉลี่ยเพียง 22 ปี สื่อมวลชนได้ขนานนามทีมว่า "เดอะบัสบีเบปส์" เพื่อเป็นเกียรติแก่บัสบีที่ให้โอกาสผู้เล่นเยาวชนของเขา ต่อมาใน ค.ศ. 1957 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่เข้าร่วมแข่งขันยูโรเปียนคัพ แม้ว่าจะมีการคัดค้านจากฟุตบอลลีกซึ่งปฏิเสธการเข้าร่วมของเชลซีในฤดูกาลก่อนหน้า ยูโรเปียนคัพครั้งนั้น ยูไนเต็ดตกรอบรองชนะเลิศหลังจากที่แพ้เรอัลมาดริด โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาชนะอันเดอร์เลคต์ ทีมชนะเลิศลีกเบลเยียม ด้วยผลประตู 10–0 นับเป็นผลชนะสูงสุดตลอดกาลของสโมสร

ในฤดูกาลถัดมา ระหว่างเดินทางกลับจากการแข่งขันยูโรเปียนคัพรอบก่อนรองชนะเลิศที่เอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด เครื่องบินที่มีผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เจ้าหน้าที่ และนักข่าว เกิดอุบัติเหตุในตอนที่บินขึ้นหลังเติมเชื้อเพลิงที่มิวนิกในเยอรมนี จนเกิดภัยพิบัติทางอากาศมิวนิกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958 ภัยพิบัตินี้มีผู้เสียชีวิต 23 คน โดยมีผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแปดคน ได้แก่ เจฟฟ์ เบนต์, โรเจอร์ ไบร์น, เอ็ดดี โคลแมน, ดังคัน เอดเวิดส์, มาร์ก โจนส์, เดวิด เพ็กก์, ทอมมี เทย์เลอร์ และบิลลี วีลัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

ผู้ช่วยผู้จัดการทีม จิมมี เมอร์ฟี รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมในช่วงที่บัสบีรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ เขาพาทีมซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นตัวสำรองเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพซึ่งพวกเขาพ่ายแพ้ต่อโบลตันวอนเดอเรอส์ ในช่วงเหตุการณ์ร้ายแรงนี้เอง ยูฟ่าได้เชิญสโมสรเข้าร่วมการแข่งขันยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1958–59 พร้อมกับวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ แม้ว่าสมาคมฟุตบอลจะอนุมัติให้เข้าร่วม แต่ฟุตบอลลีกตัดสินว่าสโมสรไม่ควรเข้าร่วมแข่งขันเพราะไม่ผ่านการคัดเลือก บัสบีสร้างทีมขึ้นใหม่ในช่วงทศวรรษ 1960 โดยซื้อผู้เล่นอย่างเดนิส ลอว์และแพต เครแรนด์ ที่จะมาเล่นร่วมกันกับผู้เล่นดาวรุ่งหลายคนซึ่งรวมถึงจอร์จ เบสต์ พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพได้ใน ค.ศ. 1963 ฤดูกาลถัดมา พวกเขาจบอันดับที่สองในลีก จากนั้นชนะเลิศลีกใน ค.ศ. 1965 และ 1967 ต่อมาใน ค.ศ. 1968 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษ (และสโมสรที่สองของบริติช) ที่ชนะเลิศยูโรเปียนคัพหลังเอาชนะไบฟีกาด้วยผลประตู 4–1 ในนัดชิงชนะเลิศ โดยทีมชุดนั้นมีผู้เล่นที่ได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีของยุโรปสามคน ได้แก่ บ็อบบี ชาร์ลตัน, เดนิส ลอว์ และจอร์จ เบสต์ พวกเขาเป็นตัวแทนจากยุโรปในการแข่งขันอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1968 ที่พบกับเอสตูเดียนเตสจากอาร์เจนตินา พวกเขาพ่ายแพ้ด้วยผลประตูรวม หลังจากที่แพ้ในเลกแรกที่บัวโนสไอเรส ก่อนที่จะเสมอด้วยผลประตู 1–1 ที่โอล์ดแทรฟฟอร์ดในอีกสามสัปดาห์ถัดมา บัสบีลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1969 และวิล์ฟ์ แมคควินเนสส์ ผู้ฝึกสอนทีมสำรองและอดีตผู้เล่นของสโมสร เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทน
1969–1986
หลังจากจบอันดับที่แปดในฤดูกาล 1969–70 และเริ่มต้นฤดูกาล 1970–71 ได้อย่างย่ำแย่ สโมสรเกลี้ยกล่อมให้บัสบีกลับมารับหน้าที่ผู้จัดการทีมชั่วคราว ส่วนแม็กกินเนสส์กลับไปเป็นผู้จัดการทีมสำรอง ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1971 แฟรงก์ โอแฟร์เรลล์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม แต่อยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึง 18 เดือน ทอมมี ดอเชอร์ตีก็เข้ารับตำแหน่งแทนในเดือนธันวาคม ค.ศ.1972 ดอเชอร์ตีช่วยให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรอดจากการตกชั้นได้ในฤดูกาลนั้น แต่ใน ค.ศ. ค.ศ. 1974 ทีมก็ต้องตกชั้นไป ทำให้ผู้เล่นสามประสานอันได้แก่ เบสต์, ลอว์ และชาร์ลตัน ย้ายออกจากสโมสร ทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้ภายในฤดูกาลเดียวและยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1976 แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับเซาแทมป์ตัน พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งใน ค.ศ. 1977 โดยสามารถเอาชนะลิเวอร์พูล ด้วยผลประตู 2–1 อย่างไรก็ตาม สโมสรปลดดอเชอร์ตีออกจากตำแหน่งหลังมีข่าวเชิงชู้สาวกับภรรยาของนักกายภาพสโมสร
เดฟ เซ็กตันเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแทนดอเชอร์ตีในฤดูร้อน ค.ศ.1977 แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญาผู้เล่นหลายคน รวมทั้งโจ จอร์แดน, กอร์ดอน แม็กควีน, แกรี เบลีย์ และเรย์ วิลกินส์ แต่ทีมก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จ พวกเขาจบอันดับที่สองในฤดูกาล 1979–80 และแพ้อาร์เซนอลในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1979 สโมสรปลดเซ็กตันออกจากตำแหน่งใน ค.ศ. 1981 แม้ว่าเขาจะพาทีมชนะเจ็ดนัดสุดท้ายของฤดูกาลก็ตามสโมสรแต่งตั้งรอน แอตกินสันเป็นผู้จัดการทีม เขาทำลายสถิติซื้อตัวผู้เล่นในบริติชด้วยการเซ็นสัญญากับไบรอัน ร็อบสันจากเวสต์บรอมมิชอัลเบียน ภายใต้การคุมทีมของแอตกินสัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอคัพสองครั้งในช่วงสามปี คือใน ค.ศ. 1983 และ 1985 ต่อมาในฤดูกาล 1985–86 หลังจากชนะ 13 นัดและเสมอ 2 นัดใน 15 นัดแรกของฤดูกาล สโมสรมีความหวังที่จะชนะเลิศลีก แต่สุดท้ายต้องจบเพียงอันดับสี่เท่านั้น ฤดูกาลถัดมา ในช่วงเดือนพฤศจิกายน สโมสรอยู่ในอันดับที่สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้น ทำให้สโมสรปลดแอตกินสันออกจากตำแหน่ง
ยุคของเฟอร์กูสัน (1986–2013)

อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและผู้ช่วยของเขา อาร์ชี น็อกซ์ ที่มาจากแอเบอร์ดีน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในวันเดียวกันกับที่แอตกินสันถูกปลดออก และพาสโมสรจบอันดับที่ 11 ในลีก แม้ว่าสโมสรจะจบอันดับที่ 2 ในฤดูกาล 1987–88 แต่ในฤดูกาลถัดมา สโมสรกลับไปจบอันดับที่ 11 เหมือนเดิมมีรายงานว่าเฟอร์กูสันจะถูกไล่ออก ก่อนที่ใน ค.ศ. 1990 สโมสรจะชนะเลิศเอฟเอคัพเหนือคริสตัลพาเลซในนัดชิงชนะเลิศที่แข่งใหม่ (หลังจากที่เสมอกัน 3–3) ทำให้เฟอร์กูสันได้ทำหน้าที่ต่อ ฤดูกาลถัดมา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพเป็นสมัยแรก ทำให้ได้เข้าร่วมแข่งขันยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1991 และสามารถเอาชนะเรดสตาร์ เบลเกรด ทีมชนะเลิศยูโรเปียนคัพ ด้วยผลประตู 1–0 ในนัดชิงชนะเลิศที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ต่อมาใน ค.ศ. 1992 สโมสรเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน โดยทีมเอาชนะนอตทิงแฮมฟอเรสต์ด้วยผลประตู 1–0 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ต่อมาใน ค.ศ. 1993 สโมสรชนะเลิศลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1967 และในปีถัดมา สโมสรชนะเลิศลีกสองสมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1957 และยังชนะเลิศเอฟเอคัพ นับเป็นดับเบิลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกของอังกฤษที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้สองครั้งหลังจากที่พวกเขาชนะเลิศทั้งสองรายการอีกครั้งในฤดูกาล 1995–96 ก่อนที่ป้องกันแชมป์ลีกอีกหนึ่งสมัยในฤดูกาล 1996–97 ขณะที่ยังมีการแข่งขันเหลือเพียงนัดเดียว

ในฤดูกาล 1998–99 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นสโมสรแรกที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือ "ทริปเปิลแชมป์" ได้ในฤดูกาลเดียวกัน โดยในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 1999 ยูไนเต็ดตามหลังอยู่ 1–0 แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เท็ดดี เชอริงงัมและอูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ ทำประตูแซงเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกได้อย่างปาฏิหาริย์ ถือเป็นหนึ่งในการกลับมาเอาชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล สโมสรยังชนะเลิศอินเตอร์คอนติเนนตัลคัพหลังจากที่เอาชนะปัลเมย์รัสด้วยผลประตู 1–0 ที่โตเกียวเฟอร์กูสันได้รับยศอัศวินจากคุณประโยชน์ของเขาที่มีต่อฟุตบอล

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศลีกอีกครั้งในฤดูกาล 1999–2000 และ 2000–01 และจบอันดับที่สามในฤดูกาล 2001–02 ก่อนที่จะกลับมาชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาล 2002–03พวกเขาชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 11 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ในฤดูกาล 2003–04 ด้วยการชนะมิลล์วอลล์ด้วยผลประตู 3–0 ในนัดชิงชนะเลิศที่มิลเลนเนียมสเตเดียมในคาร์ดิฟฟ์ ต่อมาในฤดูกาล 2005–06 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ กว่าทศวรรษ อย่างไรก็ตาม สโมสรสามารถจบอันดับที่สองในลีกและเอาชนะวีแกนแอทเลติกในฟุตบอลลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ สโมสรชนะเลิศพรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2006–07 และในฤดูกาลถัดมา สโมสรชนะเลิศลีกอังกฤษเป็นสมัยที่ 17 ก่อนที่จะคว้ายูโรเปียนดับเบิลแชมป์ด้วยการยิงลูกโทษเอาชนะเชลซีด้วยผลประตู 6–5 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2008 ที่มอสโก โดยไรอัน กิกส์ลงเล่นเป็นนัดที่ 759 ให้กับสโมสรในนัดนี้ ทำลายสถิติลงเล่นมากที่สุดให้กับสโมสรที่บ็อบบี ชาร์ลตัน เคยทำไว้ ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 สโมสรชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2008 และฟุตบอลลีกคัพ ฤดูกาล 2008–09 อีกทั้งยังชนะเลิศพรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 2009 สโมสรขายคริสเตียโน โรนัลโดให้กับเรอัลมาดริดด้วยค่าตัวสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ ต่อมาใน ค.ศ. 2010 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเอาชนะแอสตันวิลลาในลีกคัพที่เวมบลีย์ด้วยผลประตู 2–1 ทำให้สโมสรป้องกันแชมป์ฟุตบอลถ้วยแบบแพ้คัดออกได้เป็นครั้งแรก
หลังจบอันดับที่สองรองจากเชลซีในฤดูกาล 2009–10 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลับมาชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ 19 ได้ในฤดูกาล 2010–11 หลังจากที่บุกไปเสมอกับแบล็กเบิร์นโรเวอส์ด้วยผลประตู 1–1 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 ต่อมาสโมสรชนะเลิศลีกเป็นสมัยที่ 20 ในฤดูกาล 2012–13 หลังจากที่เปิดบ้านเอาชนะแอสตันวิลลาด้วยผลประตู 3–0 เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2013
2013–ปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 เฟอร์กูสันประกาศว่าเขาจะเกษียณจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจบฤดูกาล แต่จะยังคงเป็นผู้อำนวยการและทูตของสโมสร วันถัดมา สโมสรประกาศว่า เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมของเอฟเวอร์ตัน จะรับหน้าที่ต่อจากเขาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ด้วยสัญญาหกปี สิบเดือนถัดมา เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2014 ไรอัน กิกส์รับหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชั่วคราวหลังจากที่มอยส์ถูกปลดออกเนื่องจากผลงานอันย่ำแย่ โดยสโมสรไม่สามารถป้องกันแชมป์ลีกและไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995–96 อีกทั้งยังไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูโรปาลีก ถือเป็นครั้งแรกที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในการแข่งขันระดับทวีปยุโรปนับตั้งแต่ ค.ศ. 1990 วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 มีการยืนยันว่าลูวี ฟัน คาลจะเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแทนมอยส์ด้วยสัญญาสามปี โดยมีกิกส์เป็นผู้ช่วย มัลคอล เกลเซอร์ หัวหน้าตระกูลเกลเซอร์ผู้เป็นเจ้าของสโมสรได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2014
ในฤดูกาลแรกของฟัน คาล แม้ว่าเขาจะพายูไนเต็ดกลับไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้งจากการจบอันดับที่สี่ในลีก แต่ในฤดูกาลที่สองของเขา ยูไนเต็ดกลับตกรอบแบ่งกลุ่ม อีกทั้งยังจบเพียงอันดับที่ห้า ไม่สามารถลุ้นแชมป์ลีกได้เป็นฤดูกาลที่สามติดต่อกัน แม้ว่าเขาจะเซ็นสัญญาผู้เล่นค่าตัวแพงเข้ามาก็ตาม ในฤดูกาลเดียวกัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นสมัยที่ 12 นับเป็นถ้วยรางวัลแรกของพวกเขานับตั้งแต่ ค.ศ. 2013 แม้ว่าทีมจะชนะเลิศ สโมสรกลับปลดฟัน คาล ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในอีกสองวันต่อมา โดยโชเซ มูรีนโย เข้ารับตำแหน่งแทนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ด้วยสัญญาสามปี ในฤดูกาลนั้น ยูไนเต็ดจบอันดับที่หกพร้อมกับชนะเลิศอีเอฟแอลคัพเป็นสมัยที่ห้า และชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีกเป็นสมัยแรก เช่นเดียวกับการชนะเลิศเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์เป็นสมัยที่ 21 ในนัดแรกที่มูรีนโยคุมทีม แม้ว่าจะไม่จบในสี่อันดับแรก แต่ยูไนเต็ดสามารถผ่านเข้าสู่แชมเปียนส์ลีกได้จากการชนะเลิศยูโรปาลีก เวย์น รูนีย์ทำประตูที่ 250 ให้กับยูไนเต็ด แซงหน้าเซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ในฐานะผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ก่อนที่เขาจะออกจากสโมสรหลังจบฤดูกาลเพื่อย้ายกลับเอฟเวอร์ตัน ฤดูกาลถัดมา ยูไนเต็ดจบอันดับที่สองในลีก นับเป็นอันดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 2013 แต่ทีมมีคะแนนตามหลังคู่ปรับอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีถึง 19 แต้ม มูรีนโยพาสโมสรเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพเป็นครั้งที่ 19 ก่อนที่จะแพ้ให้กับเชลซี 1–0 ต่อมาในวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ซึ่งยูไนเต็ดอยู่อันดับที่หกของตารางโดยมีคะแนนตามหลังอันดับที่หนึ่งอย่างลิเวอร์พูล 19 แต้ม และตามหลังพื้นที่แชมเปียนส์ลีก 11 แต้ม สโมสรปลดมูรีนโยออกจากตำแหน่งหลังจากที่เขาคุมทีมได้ 144 นัด วันถัดมา อดีตผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าของสโมสร อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมรักษาการจนจบฤดูกาล ต่อมาในวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 2019 ซูลชาร์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรด้วยสัญญาสามปี หลังจากทำผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการชนะการแข่งขัน 14 จาก 19 นัดแรก
ในวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 2021 ยูไนเต็ดได้ประกาศว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันเดอะซูเปอร์ลีก ร่วมกับสโมสรชั้นนำในยุโรปอีก 11 ทีม เพื่อคานอำนาจกับสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากแฟนบอล, สปอนเซอร์, สโมสรชั้นนำ และรัฐบาลอังกฤษ ส่งผลให้พวกเขาต้องยกเลิกแผนดังกล่าวในสองวันถัดมา เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การลาออกของ เอ็ด วู้ดวาร์ด ประธานกรรมการบริหารของสโมสร ตามมาด้วยการประท้วงของแฟนบอลบริเวณสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 ส่งผลให้การแข่งขันระหว่างยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลต้องถูกเลื่อนออกไป โดยถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่มีการเลื่อนเกมการแข่งขันเนื่องจากการประท้วงของแฟนบอล
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 ยูไนเต็ดเอาชนะเซาแทมป์ตันด้วยผลประตู 9–0 ถือเป็นสถิติร่วมในการชนะด้วยผลประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก แต่พวกเขาสิ้นสุดการแข่งขันในฤดูกาล 2020–21 ด้วยตำแหน่งรองชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก ภายหลังจากแพ้จุดโทษบิยาร์เรอัลซึ่งเป็นการจบฤดูกาลโดยไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดมาครองได้เลยเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 สโมสรได้แถลงว่า อูเลอ กึนนาร์ ซูลชาร์ ได้ยุติบทบาทการเป็นผู้จัดการทีม ไมเคิล แคร์ริก อดีตผู้เล่นของสโมสรรับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมรักษาการในการแข่งขันสามนัดต่อมา ก่อนที่ รัล์ฟ รังนิค จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวจนจบฤดูกาล 2021–22 ต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2022 สโมสรได้ประกาศว่า เอริก เติน ฮัค จะเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในฤดูกาล 2022–23 โดยเซ็นสัญญาไปถึง ค.ศ. 2025 พร้อมเงื่อนไขในการขยายสัญญาเพิ่มเติม และในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2022 มิทเชลล์ ฟัน เดร์ คาก และ สตีฟ แม็คคลาเรน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม เติน ฮัค ชนะเลิศถ้วยรางวัลแรกกับสโมสรในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 โดยเอาชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ดในรอบชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ด้วยผลประตู 2–0
ตราสโมสรและสีชุดแข่งขัน
ตราสัญลักษณ์ของสโมสรมีที่มาจากตราประจำสภานครแมนเชสเตอร์ ส่วนที่ยังคงอยู่จากตราดั้งเดิมที่ปรากฏในตราปัจจุบันคือรูปเรือใบเต็มลำ รูปปีศาจมาจากฉายาของสโมสร "ปีศาจแดง" ปีศาจนี้ปรากฏบนรายการโทรทัศน์ของสโมสรและผ้าพันคอในทศวรรษ 1960 และถูกนำไปใส่ในตราสโมสรเมื่อ ค.ศ. 1970 อย่างไรก็ตาม ตรานี้ยังไม่ปรากฏบนอกเสื้อจนกระทั่งใน ค.ศ. 1971
เครื่องแบบของนิวตันฮีตเมื่อ ค.ศ. 1879 สี่ปีก่อนที่สโมสรจะลงแข่งขันครั้งแรก มีบันทึกว่าเป็น 'ชุดสีขาวและสีน้ำเงิน' ภาพถ่ายของทีมนิวตันฮีตใน ค.ศ. 1892 แสดงให้เห็นว่าผู้เล่นสวมเสื้อสี่ส่วนสีแดงและขาวและกางเกงนิกเกอร์บอกเกอส์สีน้ำเงินเข้มต่อมาระหว่าง ค.ศ. 1894 และ 1896 ผู้เล่นสวมเสื้อสีเขียวและสีทอง ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาวและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้มใน ค.ศ. 1896หลังจากเปลี่ยนชื่อสโมสรใน ค.ศ. 1902 สีชุดแข่งของสโมสรเปลี่ยนเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีขาว และถุงเท้าสีดำ ซึ่งกลายเป็นชุดเหย้ามาตรฐานของทีม มีการเปลี่ยนแปลงของชุดเล็กน้อยจนกระทั่งใน ค.ศ. 1922 เมื่อสโมสรนำเสื้อสีขาวที่มีรูปตัว "วี" สีแดงเข้มรอบคอ คล้ายกับเสื้อที่สวมในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 1909 พวกเขาคงไว้เป็นส่วนหนึ่งของชุดเหย้าจนถึง ค.ศ. 1927 สำหรับช่วงเวลาใน ค.ศ. 1934 เสื้อชุดเหย้ากลายเป็นเสื้อลายขวางสีเชอร์รีสลับขาว แต่ในฤดูกาลถัดมาสโมสรนำเสื้อสีแดงกลับมาใช้อีกครั้งหลังจากที่สโมสรจบอันดับที่ 20 ในเซคันด์ดิวิชันซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดของสโมสร ส่วนเสื้อลายทางถูกลดบทบาทเป็นเพียงชุดตัวเลือก ถุงเท้าสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1965 ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่สีขาวใช้ในบางโอกาส และใน ค.ศ. 1971 สโมสรกลับไปใช้ถุงเท้าสีดำ กางเกงสีดำและถุงเท้าสีขาวจะสวมคู่กับเสื้อเหย้าเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่ใส่ในนัดเยือนกรณีที่ชุดของทีมตรงกับชุดของคู่แข่ง สำหรับฤดูกาล 2018–19 กางเกงสีดำและถุงเท้าสีแดงกลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับชุดเหย้า ตั้งแต่ฤดูกาล 1997–98 สโมสรใช้ถุงเท้าสีขาวในเกมยุโรปที่มักแข่งขันในคืนกลางสัปดาห์ เพื่อช่วยในการมองเห็นของผู้เล่น ชุดเหย้าในปัจจุบันประกอบด้วยเสื้อสีแดงพร้อมเครื่องหมายสามแถบของอาดิดาสบนไหล่ กางเกงสีขาว และถุงเท้าสีด
ชุดเยือนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมักเป็นเสื้อสีขาว กางเกงสีดำและถุงเท้าสีขาว ยกเว้นในบางครั้งที่มีการใช้ชุดสีดำล้วนตัดด้วยสีน้ำเงินและสีทองระหว่าง ค.ศ. 1993 ถึง 1995 กับเสื้อสีกรมท่าที่มีแถบสีเงินแนวนอนในช่วงฤดูกาล 1999–2000 และชุดเยือนในฤดูกาล 2011–12 ซึ่งใช้เสื้อสีฟ้าที่มีแขนเสื้อแถบลายเส้นสีกรมท่าและสีดำ พร้อมกับกางเกงสีดำ และถุงเท้าสีน้ำเงินชุดเยือนสีเทาล้วนที่ใช้ในช่วงฤดูกาล 1995–96 ถูกยกเลิกหลังจากที่ได้สวมเพียงห้านัด นัดสุดท้ายที่ใช้ชุดนี้คือนัดที่พบกับเซาแทมป์ตัน โดยอเล็กซ์ เฟอร์กูสันบังคับให้ทีมเปลี่ยนไปสวมชุดที่สามในช่วงครึ่งหลัง เพราะผู้เล่นอ้างว่ามีปัญหาในการมองหาเพื่อนร่วมทีม จนทำให้ยูไนเต็ดไม่สามารถเอาชนะในนัดที่สวมชุดนี้ ใน ค.ศ. 2001 ซึ่งมีการฉลองครบรอบ 100 ปีในชื่อ "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" มีการจำหน่ายชุดเยือนสีขาวและทองแบบกลับด้านได้ แม้ว่าในนัดแข่งขันจริงจะไม่สามารถกลับด้านเสื้อได้
ชุดที่สามของสโมสรมักเป็นสีน้ำเงินล้วน โดยครั้งล่าสุดที่ใช้คือฤดูกาล 2014–15 บางครั้งชุดที่สามเป็นสีอื่น เช่น เสื้อแบ่งครึ่งสีเขียวและสีทองที่ใช้ระหว่าง ค.ศ. 1992 ถึง 1994 เสื้อลายทางสีน้ำเงินและสีขาวที่ใส่ในฤดูกาล 1994–95, 1995–96 และ 1996–97 ชุดสีดำที่ล้วนใส่ในฤดูกาล 1998–99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ และเสื้อสีขาวแถบแนวนอนสีดำและสีแดงที่ใส่ในฤดูกาล 2003–04 และ 2005–06ตั้งแต่ฤดูกาล 2006–07 ถึง 2013–14 ชุดที่สามจะเป็นชุดเยือนของฤดูกาลก่อนหน้า แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนผู้สนับสนุนของสโมสรในฤดูกาล 2006–07 และ 2010–11 ก็ตาม ชุดที่สามในฤดูกาล 2008–09 เป็นชุดสีฟ้าล้วนที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของความสำเร็จในยูโรเปียนคัพ ฤดูกาล 1967–68